
มาทำความรู้จักกันครับ ว่า ฟิล์มหด (SHRINK FILM) คืออะไร เป็นข้อมูลเชิงวิชาการครับ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการศึกษาครับ
ฟิล์มหด (SHRINK FILM) (มีบางท่าน จะเรียกว่า ฟิล์มหด รีดโค้ง ฟิล์มหด รีดตรง ฟิล์มหด ตัดเปิด ตามสภาพของลักษณะชิ้นงาน หรือบางท่านจะเรียกกันง่าย ๆ ว่า ถุงหด พลาสติกหด)
ในการจัดจำหน่ายสินค้าปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการขายส่งหรือขายปลีกก็ตาม จะเห็นว่ารูปแบบของการแพคเกจจิ้งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นภาพลักษณ์ ที่ทำให้เกิดการสะดุดตา ถ้ามีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูสวยงาม ดูสะอาด ดูปลอดภัยต่อการใช้งาน จะส่งผลต่อการตัดสินใจได้ง่ายมากขึ้น ดังนั้นการบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ ในท้องตลาด จึงมีความนิยมที่จะใช้ ฟิล์มหด (shrink film) เพื่อหุ้มห่อรัดสินค้า หรือแพคเกจรูปทรงต่าง ๆ และปัจจุบันได้รับความนิยมสูง เนื่องากสามารถใช้กับสินค้าได้หลากหลาย นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น สินค้าอุปโภคหรือบริโภค ตลอดจนสินค้าอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งชิ้นเล็ก และ ชิ้นใหญ่
ซึ่งความโดดเด่นของ ฟิล์มหด หลัก ๆ จะมีดังนี้
- ปกป้องสินค้าให้ดูปลอดภัย ก่อนถึงมือลูกค้าปลายทาง
- ป้องกันฝุ่น ป้องกันรอยขีดข่วน
- จัดแพค สินค้าที่มีหลายชิ้น หรือจัดเป็นเซ็ท เพื่อช่วยให้ความสะดวกต่อการ ลำเลียงขนส่งและเก็บรักษา และเพื่อส่งเสริมการขาย เช่น ชุดของแถม เป็นต้น
ฟิล์มหด นี้ มาจากศัพท์เทคนิคว่า “Shrink film” ซึ่งเรียกตามคุณสมบัติของฟิล์มนั่นเอง โดย ฟิล์มหด เอง จะมีการจัดกลุ่มหลัก ๆ อยู่ 3 ประเภท ดังนี้
1. ฟิล์มหด POF หรือ ฟิล์มนิ่ม เป็นฟิล์มประเภท Food grade
2. ฟิล์มหด PVC ที่นิยมใช้กันทั่วไป เพราะใช้งานง่าย
3. ฟิล์มหด PE นิยมใช้ในการหุ้มแพคห่อสินค้าประเภทขวดน้ำดื่ม คุณสมบัติโดดเด่นคือ เหนียว ไม่แตกง่าย แต่มีข้อด้วยคือ มี % การหดตัวน้อย และราคาขึ้นลงตามราคาต้นทุน ที่อิงตลาดน้ำมัน
ฟิล์มหด มีความโดดเด่นในเรื่อง "การหดตัว" เมื่อได้รับแรงลมร้อน โดยอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการหดตัวที่ดีที่สุด จะอยู่ที่ประมาณ 150-170 องศาเซลเซียส
วัสดุที่ใช้ทำฟิล์มหด ได้แก่ พลาสติกที่โมเลกุลถูกทำให้เรียงตัวกันในระหว่างการผลิตฟิล์ม ชนิดของ พลาสติกที่นิยมใช้ที่สุดคือ พอลิไวนิลคลอไรด์ (polyvinyl chloride-PV) และพอลิเอทีลีนชนิดความหนาแน่นต่ำ (Low density polyethylene-LDPE)
สำหรับวิธีการใช้งาน ฟิล์มหด ทำได้ไม่ยาก ดังนี้ นำ ฟิล์มหด ดังกล่าวมาทำเป็นถุง (หรือที่เราเรียกว่า ฟิล์มหด รีดโค้ง ฟิล์มหด รีดตรง ฟิล์มหดตัดเปิด นั่นเอง ตามสภาพและความเหมาะสมกับการใช้งานแต่ละแพคเกจ) แล้วสวมครอบสินค้าอย่างหลวมๆ จากนั้นนำไปผ่านลมร้อนซึ่งได้มาจาก เครื่องเป่าลมร้อน (Heat gun) หรือ เครื่องอุโมงค์ความร้อนก็ได้ ขึ้นกับขนาดของสินค้า จำนวนของสินค้า ความเร็วที่ต้องการ และต้นทุนของผู้ใช้งาน ซึ่งความร้อนจะเป็นผลให้ฟิล์มหดตัวและรัดแน่นกับสินค้าที่สวมอยู่
แต่การหดรัดของ ฟิล์มหด จะสวยงาม ดูเรียบเนียน และทำงานได้ง่ายหรือยากนั้น ขึ้นกับเกรดของ ฟิล์มหด ด้วยเช่นกัน
ปัจจัยในการเลือกใช้ ฟิล์มหดให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ขึ้นกับปัจจัยหลัก 3 ประการ คือ
1. คุณภาพของ ฟิล์มหด (ฟิล์มหด คอมปาวด์) ที่ดี อันนี้ ต้องเลือกใช้ ฟิล์มหดเกรดเอ ที่มีความแข็งแรงของรอยปิดผนึก ไม่ปริง่าย ความใส ความบาง และใช้อุณหภูมิในการหดตัวระยะเวลาสั้น ๆ ทำงาานง่าย ซึ่งราคาจะดูสูงหน่อย แต่เมื่อเฉลี่ยต่อชิ้น ต่อเวลาทำงาน แล้ว จะถูกกว่า
2. ต้นทุนที่ถูก ตัวนี้จะเป็นฟิล์มหดประเภทเนื้อเรซิ่น ที่จะมีความหนากว่า และมี % การหดตัวน้อยกว่า แต่ต้นทุนจะถูกกว่า
3. เครื่องมือที่ใช้ในการทำให้ฟิล์มหด เกิดการหดตัว ถ้าเลือกใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ น้อกจากจะลดเวลาในการทำงานแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้อีกด้วย
*******************************************************